ยิ่งใหญ่ตระการตา “รมว.ซาบีดา” เปิดงานไหลเรือไฟโบราณสักการะบูชาพระธาตุพนมปล่อยกระทงสาย – เรือไฟโบราณ เชื่อมสัมพันธ์สองฝั่งโขงไทย – สปป.ลาว
วธ. – บูรณาการร่วมจังหวัดนครพนม สืบสาน ต่อยอด นำทุนทางวัฒนธธรรม – ความคิดสร้างสรรค์ ขับเคลื่อนนโยบาย “ไท ไทย” ส่งเสริมท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม – ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสร้างรายได้สู่ท้องถิ่น – ผลักดันเป็นงานวัฒนธรรมระดับนานาชาติ






วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๗.๐๐ น. นางสาวชาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีไหลเรือไฟโบราณสักการะบูชาพระธาตพนม เชื่อมวัฒนธรรมสองฝั่งโขง ประจำปี ๒๕๖๒๖๘ โดยมีนายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หัวหน้าส่วนราชการและประชาชน เข้าร่วมพิธีฯ ณ บริเวณลานชมโขง หน้าโรงแรมธาตุพนมริเวอร์วิว อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม







ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบหมายนายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จุดรูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย สมาทานศีล ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และถวายปัจจัยไทยธรรม จากนั้นมีกิจกรรมพิธีจ้ำเคราะห์ หรือสะเดาะเคราะห์ตามปีเกิดหรือปีนักษัตร เพื่อปัดเป้าความทุกข์โศกและสิ่งที่ไม่ดีออกจากชีวิตตามความความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ โดยนางสาวซาบิดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดและประธานพิธีร่วมปล่อยเรือไฟโบราณเพื่อขอขอขมาพระแม่คงคานำสิ่งที่ไม่ดีให้ไหลไปกับสายน้ำ พร้อมทั้งชมการปล่อยไข่พญานาค กะโป๊ว (กระทงสาย) และเรือไฟโบราณเชื่อมสัมพันธ์สองฝั่งโขงไทยและ สปป.ลาว จำนวน ๑๒ ลำ๑๒ นักษัตร และชมการแสดงฟ้อนรำจากกลุ่มแม่บ้านอำเภอธาตุพนม
นางสาวชาบีดา กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันวัฒนธรรมไทยให้ก้าวสู่ระดับนานาชาติ แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์
ความงดงามและพลังศรัทธาของคนไทย การจัดงานมหกรรมไหลเรือไฟโลกในปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียงงานประเพณีเท่านั้น
แต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนศักยภาพของปรงประเทศไทยในการใช้ “พลังวัฒนธรรม” เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สร้างการฟื้นฟูและกระตุ้นรายได้ กระจายสู่พี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ยังสอดคล้องกับการขับเคลื่อน
งานวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิด “ไท ไทย” คือเปลี่ยนพลังวัฒนธรรมให้กลายเป็นรายได้จริง ผ่านการยกระดับทันทาง
วัฒนธรรมให้เกิดคณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ประเพณีไหลเรือไฟจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะสะท้อนเอกลักษณ์
ความศรัทธาและภูมิปัญญาของคนไทยที่สามารถต่อยอยอดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยว สินค้าท้องถิ่นและอุตสาหกรรม
สร้างสรรค์ได้ครบวงจร ดังนั้น เทศกาลไหลเรือไฟไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ของศรัทธา แต่ยังเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่เชื่อม
อดีต ปัจจุบันและอนาคตของชุมชนเข้าด้วยกัน
“ดิฉันเชื่อว่าการผลักดันและยกระดับเทศกาลเรือไฟสู่เรือไฟโลก จะสอดคล้องและช่วยขับเคลื่อนกับนโยบาย
ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ “สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทย ส่อนาคตอย่างยังยังยืน”
ส่งเสริม “ROOT to RICH” หรือ จากรากเหง้า สู่รายได้ ภายใต้แนวคิด “ไท ไทย” ในการยกระดับคุณค่าชุมชน ขยาย
ผลสู่ระดับประเทศ และต่อยอดสู่การแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างดี” นางสาวซาบีดา กล่าว
“ดิฉันได้เห็นความงดงามของประเพณีอันเก่าแก่ และมีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนานและเป็นต้นกำเนิดของ
ประเพณีไหลเรือไฟของพี่น้องชาวจังหวัดนครพนมจัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา ด้วยความเชื่อว่าเป็นการบูชารอย
พระพุทธบาทริมฝั่งแม่น้ำโขง รวมถึงการบูชาพญานาค การสำนึกในพระคุณของพระแม่คงคา และการขอขมาสิง
ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เพื่อความสงบร่มเย็นและความเจริญรุ่งเรื่องของของบ้านเมืองและประชาชนริมโขงทั้งฝั่งจังหวัดนครพนม
และฝั่งแขวงคำม่วนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงขอชื่นชมการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟโบราณ ภายได้
โครงการยกระดับเทศกาลเรือไฟสเรือไฟโลกจังหวัดนครพนมในวันนี้ เพราะประเพณีไหลเรือไฟโบราณจังหวัดนครพนม
ถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สำคัญและสืบทอดกันมายายาวนานของพี่น้องชาวจังหวัดนครพนม และสาธารณรัฐประชาธิบไตย
ประชาชนลาว ซึ่งวันนี้มีพิธีปล่อยไข่พญานาค ลอยกะโป๊ว (กระพงสาย) และเรือไฟโฟโบราณเชื่อมสัมธ์สองฝั่งโซงไทย –
ลาว จำนวน ๑๒ ลำ ๑๒ นักษัตร เป็นการสะท้อนถึงความร่วมมือและสายใยทางวัฒนธรรมที่แน่นแฟ้นของประชาชนทั้ง
สองประเทศ” รมว.วธ. กล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงวัฒนธรรมจะเดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดนครพนมอย่างต่อเนื่อง
โดยมุ่งใช้ “ทุนทางวัฒนธรรม” และ “ความคิดสร้างสรรค์” มาต่อยอดให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญผลักดันกิจกรรม
ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ของพื้นที่ เช่น ประเพณีไหลเรือไฟ การแสดงพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย
(CPOT) ให้เป็นจุดขายในการท่องเที่ยว และจะส่งเสริมและต่อยอดสู่การยกระดับจากเรือไฟไทยสู่เรือโฟโลกให้เป็นที่รู้จัก
ตลอดจนเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้
ยังสนับสนุนการผลักดันพระธาตุพนมสู่การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพื่อยกระดับจังหวัดนครพนมให้เป็น ศูนย์กลาง
วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภูมิภาคอย่างยั่งยืนต่อไป